เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ม.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เวลาปกติวันเสาร์ วันอาทิตย์ แต่ก่อนวันพระวันโกน เราไปทำบุญกัน เราทำบุญกันเพื่อให้ใกล้ชิดศาสนาไง ให้ใกล้ชิดศาสนานะ ดูสิ ในลังกา ในพม่า ก่อนเขาไปทำงานเขาไปกราบพระแล้วเขาไปทำงาน กลับจากทำงานมาเขาก็ไปกราบพระแล้วเขาก็กลับบ้าน เวลาเขาไปวัดนะ เวลาตู้บริจาคของเขาเงินล้นจนล้นตู้บริจาคเลย ไม่มีใครไปแตะ เพราะอะไร เพราะว่าเขามีวัฒนธรรม มันเกิดจากหัวใจ ถ้าหัวใจเขารู้บาปบุญคุณโทษ เขาไม่ทำแบบนั้น

แต่ถ้าเราว่าเราเจริญไง เราภูมิใจนะว่าพระพุทธศาสนาเราเป็นศูนย์กลางของโลก เราเป็นศูนย์กลางของโลกเพราะเราเผยแผ่ เรามีสิ่งใด เผยแผ่มันก็ต้องอาศัยทุน อาศัยต่างๆ มันทำให้เรื่องกรรมดีกรรมชั่ว ถ้ากรรมดี ทำดี กรรมดี ทำแต่กรรมดี สิ่งที่กรรมดีมันให้ผลเป็นความดี ถ้ากรรมชั่ว กรรมชั่วมันให้ผลอยู่แล้ว การกระทำไง

พอบอกว่าเรื่องกรรมๆ เราคิดแต่กรรมมันคือการที่ว่าเราตกทุกข์ได้ยาก มันเป็นเรื่องของกรรมๆ แล้วเวลาเรามีความสุขล่ะ เวลาเราประสบความสำเร็จเราก็ไม่บอกว่านี่กรรมบ้างล่ะ เห็นไหม มันกรรมดี กรรมดี ทำกรรมดี ทำความดี ให้ผลแต่คุณงามความดี มันเป็นบุญกุศล บุญกุศลกับอกุศล อกุศลทำแล้วมันจะเป็นบาป มันทำให้เราตกต่ำ ถ้าทำคุณงามความดี เห็นไหม วันพระวันโกน เขาให้ไปใกล้ศาสนา ให้ได้ศึกษา ให้ได้เข้าใจ ถ้าได้ศึกษาเข้าใจแล้ว ทำสิ่งใดมันไม่ได้ทำด้วยความลังเลสงสัย

ทำด้วยความลังเลสงสัย ทำตามๆ กันไป เห็นเขาทำอย่างไรก็ทำตามเขาไป ทำตามเขาไป แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่มีวัฒนธรรม ท่านทำคุณงามความดีของท่าน เราอยู่กับหลวงตา เวลาวันพระวันโกนท่านจะเทศนาว่าการ แล้วท่านบอกว่าให้กลับไปนะ แล้วตอนกลางคืนเขามีกิจกรรมก็บอกอย่ามานะ ถ้ามาจะเอาไม้ตีขาเลย ตีขาเลย

เพราะเวลาทำคุณงามความดี ความดีมันสูงขึ้นไปไง เราก็ว่ากิจกรรมนั้นมันจะเป็นคุณงามความดีทั้งหมด...ใช่ กิจกรรมนั้นมันเป็นคุณงามความดี เราไม่ได้ปฏิเสธทั้งหมด แต่เวลาทำแล้ว กิริยาของใจ เวลาใจมันทุกข์มันยากขึ้นมา เราจะฝืนมัน เราจะฝืนมันด้วยอะไร? ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยธรรม

ด้วยกิเลสไม่ได้ ถ้าด้วยกิเลส ดูสิ ด้วยกิเลส คนเราเวลาทุกข์เวลายากขึ้นไป เขาก็สำมะเลเทเมาของเขาไปเพื่อจะพ้นจากทุกข์นะ ชีวิตเขายิ่งตกต่ำไปเรื่อยเลย แต่ถ้าเวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา เราฝืนนะ เราฝืนขึ้นมาด้วยสติปัญญาของเรา เราฝืน เรารักษาศีลของเรา

“รักษาศีลนะ คิดดูสิ คนมันเจ็บช้ำน้ำใจมาแล้ว ไปรักษาศีล ไปบังคับมัน มันก็ต้องดิ้นรนเข้าไปใหญ่น่ะสิ ถ้าดิ้นรนเข้าไปใหญ่มันก็ทุกข์มากเข้าไปน่ะสิ”

อ้าว! ก็คนมันเจ็บป่วยมา พอเจ็บป่วยมาเขาต้องรักษาด้วยยา พอรักษาขึ้นมา ดูสิ เขารักษาด้วยยา เขาทำความสะอาดแผล มันเจ็บปวดไหม เวลาเข้าโรงพยาบาล เวลาเขาผ่าตัด มันเจ็บปวดไหม เขาเจ็บปวดเพื่อมันจะหายไง แล้วถ้ามันหายแล้วก็คือมันหายจริงไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความเจ็บช้ำน้ำใจ เราเข้าวัดเขาวาขึ้นมาต้องกดไว้ด้วยสติยับยั้งมันไว้ ถ้าสติยับยั้งไว้แล้วพยายามทำของเรา ถ้าสติยับยั้งด้วย รักษาร่างกายเราจนมันเป็นปกติ เจ็บไข้ได้ป่วยมันรักษาจนมันหาย พอมันหายแล้วเราทำคุณงามความดีของเราต่อเนื่องไป ถ้ารักษาด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยธรรม ด้วยคุณธรรม พอความทุกข์มันหายไปมันทึ่งนะ พอมันทึ่งนะ ขนาดความทุกข์อย่างนี้มันยังปลดเปลื้องมาในใจของเราได้เลย แล้วการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราปฏิบัติไปมันจะได้ผลมากน้อยขนาดไหน พอมันทึ่ง มันอึ้ง มันอยากแสวงหาต่อไป ถ้ามันแสวงหาต่อไป เพราะอะไร เพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เพราะเราได้สัมผัสของเราเองใช่ไหม ไม่ต้องให้ใครมาบอกหรอก เราสัมผัสของเราเอง แล้วเราจะพัฒนาของเราเจริญงอกงามขึ้นไป ถ้ามันงอกงามขึ้นไป มันเต็มใจทำนะ พอมันเต็มใจทำ เห็นไหม

ไอ้สิ่งที่เขาประพฤติปฏิบัติกันเขาเรียกบรรเทาทุกข์ เวลาเจ็บช้ำน้ำใจไปวัดขึ้นมา รู้เท่าทันๆ แล้วมันก็สบายไง “โอ้โฮ! เมื่อก่อนทุกข์ยากมาก เดี๋ยวนี้สบายเลยนะ” แล้วสบายอะไรล่ะ

คนมันแบกของหนักมา มันวางมันก็สบาย แล้วมันสบายแล้วมันก็ยังทุกข์อยู่อย่างนั้นน่ะ มันสบายๆ อะไร สบายเพราะความคิดมันเกิดดับ แล้วความคิดมันเกิดดับ ถ้ามันคิดดีมันก็มีความสุข ถ้ามันคิดร้ายมันก็ทำร้ายตัวเอง แล้วเวลามันคิดร้ายมา เราวางไว้เป็นก็วางไว้ แล้วความคิดมันมาจากไหนล่ะ ถ้าความคิดมาจากไหน

ดูสิ วันพระๆ ผู้ประเสริฐ ประเสริฐอย่างนี้ ประเสริฐเพราะความคิดมาจากไหน เขาทำสมาธิขึ้นมาไปถึงฐีติจิต ไปถึงจิตเดิมแท้ พอจิตเดิมแท้ ความคิดมาจากไหน ความคิดมันผุดมาจากนี่ ถ้าความคิดมันผุดมาจากนี่ ถ้าจิตสงบแล้วมันจับได้ จิตเห็นอาการของจิต จิตเป็นผู้เห็น

ไอ้นี่เราไม่เห็น ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เวลาใครทำมาเราก็ว่าตามเขาไป เขียนแผนที่ เขียนเครื่องดำเนินแล้วก็วิเคราะห์วิจารณ์กัน แต่จิตไม่เห็นอาการของจิต คือตัวเองไม่รู้จักตัวเอง ตัวเองไม่เห็นอาการของตัว ตัวเองไม่รู้จักความดีความชั่วของตัว ตัวเองไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ แต่ไปดูสมบัติคนอื่นนะ

เวลาชาวพุทธเรา เห็นไหม หลวงตาท่านพูดบ่อย เศรษฐีธรรมๆ ไปดูเงินคนอื่นไง ไปหาครูบาอาจารย์ก็ไปดูคุณธรรมของท่าน คนนั้นมีคุณธรรมมาก คนนี้มีคุณธรรมน้อย เที่ยวไปดูเงินทองของเขา เที่ยวไปดู ออกบูทก็ไปดูร้านค้าเขา แต่ของเรามันไม่มี

ถ้าของเราจะมี เห็นไหม วันพระ วันพระวันโกนก็ไปวัดไปวากัน เข้าใกล้ชิดศาสนา ธรรมะของครูบาอาจารย์ก็สาธุ! ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ท่านเป็นหลักเป็นชัยขึ้นมา เราจะก้าวเดินกันอย่างไร ถ้าธรรมะของครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านทำได้จริง เพราะความจริง ความจริงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ถ้าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ความจริงมันเป็นความจริงอยู่แล้ว มันเผชิญกับวิกฤติต่างๆ มันอยู่กับโลกด้วยความไม่เป็นทุกข์ ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำของท่านมา ท่านถึงได้มีคุณธรรมในหัวใจอันนั้น แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติ คนที่มีคุณธรรมอย่างนั้นท่านต้องผ่านวิกฤตินั้นมา ต้องทุกข์ยากมาก่อน เพราะอะไร

เพราะเวลาการเวียนว่ายตายเกิด คนมาเกิดคือคนที่มีอวิชชาทั้งนั้น คนไม่รู้ทั้งนั้นน่ะ แล้วพระที่มาบวชก็มาจากคนทั้งนั้นน่ะ แล้วพระที่มาบวชก็มาจากคน ก็มาจากอวิชชา มาจากความไม่รู้นั่นน่ะ แล้วท่านประพฤติปฏิบัติของท่านไป ท่านก็ต้องสมบุกสมบันของท่านไป พอการสมบุกสมบันของท่าน นั่นล่ะประสบการณ์ของท่าน ถ้าประสบการณ์ของท่านนะ

เวลามันเจริญขึ้นแล้วมันเสื่อมลง เวลาไม่เจริญเลย เราล้มลุกคลุกคลาน เราเป็นคนแห้งแล้ง เราเป็นคนไม่มีอาหารการกิน เราทุกข์ยากตลอดมา เวลามีคนคนหนึ่งยื่นอาหารให้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายื่นอาหารให้ ยื่นธรรมะให้ เราได้ดื่มกินอาหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กินหมดแล้วมันก็หมด หมดแล้วทำอย่างไรต่อ

คนเราเวลามันทุกข์มันยาก มันหิวกระหายของมัน มันได้อาหารอันนั้นมันก็ดำรงชีวิตของมัน นี่มีอาหารกิน แล้วเวลาไม่มีอาหารกินมันหิวขนาดไหน จิตใจที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลามันเจริญขึ้นมามันก็มีความสุข มันก็มีความระงับของมัน บอกว่า “เมื่อก่อนทุกข์ยากมากเลย พอรู้ตัวทั่วพร้อมแล้ววางหมดเลย แล้วมันสบายๆ”...อาหารอยู่ไหน กินอย่างไร อาหารเขาเอาเข้าปาก ไม่ได้เอาเข้าจมูก อาหารยัดเข้าจมูก ยัดเข้ารูหูเลยนะ อาหารเขากินเข้าทางรูหู มันยัดเข้าไปเลยนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก อาหารเขาก็กินทางปาก แล้วกินอย่างไรล่ะ

นี่ไง ถ้ามันเจริญแล้วมันเสื่อม มันเสื่อมอย่างไร พยายามตั้งสติไว้ มันเป็นสัจจะนะ มันเป็นสัจจะว่าคนเราทำงานมันต้องมีอุปสรรค คนทำงานมันต้องมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เวลามันเจริญขึ้นไป เราก็ไม่ฟูไปกับมัน ไม่ฟู ไม่ดีใจ ไม่คึกคะนองไป เวลาเจริญก็เป็นว่าวเชือกขาดเลย เวลามันเสื่อมแล้วนะ ว่าวมันไปอยู่ที่ไหนก็หาว่าวไม่เจอ ไม่เห็นอะไรเลย มันทุกข์มันยากไปหมด

ในการปฏิบัติ เวลาคนทำงาน คนที่เป็นเศรษฐีเวลาเขาทำธุรกิจของเขา เขายังล้มลุกคลุกคลานมาเลย ใครที่ทำทีเดียวประสบความสำเร็จ ทำแล้วเจริญรุ่งเรืองมันมีน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วก็ล้มลุกคลุกคลานมาทั้งนั้นแหละ เพราะอะไร เพราะเวไนยสัตว์ สัตว์ที่ทำบุญมาอย่างนี้

นี่ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันเจริญ อ้าว! เจริญก็เป็นการการันตี เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกว่าศาสนามีจริง จิตของเราสงบเท่านั้นแหละ มันทึ่ง มันมีคุณค่า รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง คำนี้ฟังไว้ “รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง”

รสของโลกเขาที่เขาสนุกคึกครื้นกัน ที่เขาแสวงหากัน นั่นล่ะรสของโลก รสของธรรมมันไม่ชนะอย่างนั้น ทำไมครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่า ท่านมีความสุขล่ะ ท่านอยู่โคนไม้อยู่ในป่ามีความสุขนะ ไอ้พวกเราเศรษฐีนะ ดูเศรษฐีสกลนครจะเข้าไปหาหลวงปู่มั่นต้องจ้างเกวียนบรรทุกล้อเข้าไป เศรษฐีต้องเข้าไปหาคนทุคตะเข็ญใจในป่า ทุคตะเข็ญใจในปัจจัย ๔ ทุคตะเข็ญใจในทางสายตาของโลก แต่ท่านมีความสุขของท่าน มีความสุขของท่าน ถ้ามีความสุขจริงมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราแสวงหาที่เราจะเป็นพระ เป็นพระกันอย่างนี้

ฉะนั้น เราทำอะไรถ้ามันล้มลุกคลุกคลาน เราก็พยายามสร้างสติ เราพยายามสร้างสตินะ แล้วพยายามเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันต้องมาจนได้ล่ะ เวลาหลวงตาท่านจิตเสื่อม ท่านไปหาหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านเล่าให้ฟังเอง ท่านบอกว่าเวลาหลวงปู่มั่นท่านสอนนะ คนที่ภาวนาไม่เป็นมันก็ยังงงใช่ไหม แต่พอท่านภาวนาผ่านไปแล้วท่านมาทบทวนถึงที่หลวงปู่มั่นสอนท่าน ท่านคิดถึงตอนท่านปฏิบัติใหม่ๆ ท่านบอกเลย สอนเหมือนเด็กๆ สอนอนุบาล

จิตใจของเราก็เหมือนกับเด็กน้อยไร้เดียงสา มันก็เอาแต่ใจของมันเอง เวลามันเที่ยวเล่นของมันไป มันเสื่อมหมดเลย มันไปไม่กลับเลย มันไปเที่ยวเล่นของมัน มันทิ้งหัวใจไปเลย มันเสื่อมหมด มันมีแต่ความร้อน

หลวงปู่มั่นก็บอกว่า เด็กมันต้องกินอาหาร สิ่งมีชีวิตมันต้องมีอาหารประจำชีวิตของมัน ฉะนั้น เวลามันดื้อ มันไปเที่ยวเล่นของมันก็ปล่อยมันไป ยิ่งตามมันไปมันก็ยิ่งตกระกำลำบากไปด้วยกันทั้งหมด ก็ให้พุทโธๆ ไว้ไง รักษาอาหารไว้ เด็กมันไปถึงที่สุดแล้วมันไม่มีอะไรจะกิน มันกลับมาเอง

ท่านก็พุทโธของท่านด้วยความจริงของท่าน นี่เวลามันเสื่อมมันเสื่อมหมดนะ ท่านบอกว่าพุทโธๆ ๓ วันแรกอกแทบระเบิด เพราะอะไร เพราะเด็กไร้เดียงสามันเที่ยวเล่นไปจนเคยตัวแล้ว พุทโธๆ ถึงที่สุดแล้วมันกลับมาจริงๆ มันไม่มีอะไรจะกินมันต้องกลับมา พุทโธๆๆ พุทโธอยู่นี่แหละ แต่พวกเรามันไม่จริง จะเป็นพระผู้ประเสริฐ แต่มันไม่ประเสริฐ มันไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริง ไม่มีสัจจะความจริง ล้มลุกคลุกคลานไปแล้วก็ปล่อยไปเลย ไหลไปเลย แล้วชีวิตนี้คืออะไร เวลาทุกข์ยากมาทั้งชีวิต ทุกข์ยากมาได้ อนาคตเรามองไม่เห็น อนาคตมันจะทุกข์ยากไปอีก

นี่ว่าทุกข์ยากแล้วนะ ปฏิบัติมาแล้วมันเสื่อมหมดเลย แล้วมันทุกข์มันยากนะ เดี๋ยวไฟมันเผามันจะทุกข์กว่านี้ ถ้ามันไม่มีธรรมะ ไม่มีสัจธรรม รสของธรรมขึ้นมาดับไฟมันบ้าง มันจะได้ร่มเย็นของมัน

เราต้องมีสัจจะ พุทโธของเราไปเรื่อย พอเวลามันกลับมา เวลามันหิวกระหายมันไปไม่รอดหรอก มันไปไม่รอด โดยสัจจะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติของท่านมาท่านรู้ มันไปไหนล่ะ เพราะมันก็อยู่กลางหัวอกเรานี่แหละ จิตถ้าไม่อยู่กลางหัวอกก็คนตายน่ะสิ คนเป็นๆ อยู่มันก็มีความรู้สึกน่ะสิ แต่ความรู้สึกนี้อวิชชามันผลักไสไง มันก็พุ่งไปข้างนอกหมดแหละ ทิ้งไปเลย เห็นไหม

สมบัติสิ่งใดมันจะมีค่าเท่ากับชีวิตคน ชีวิต เพราะมีชีวิตถึงมีทรัพย์มีสมบัติ มีสถานะ มีตำแหน่ง มีหน้าที่มีการงาน เงินทั้งหมด สมบัติทั้งหมดเป็นของใคร ถ้ามีชีวิตอยู่นี่ของเรา เอ็งตายเดี๋ยวนี้ ของใครน่ะ

สิ่งที่มีค่าที่สุดคือหัวใจนี้ คือความรู้สึกเรานี่มีค่าที่สุด แล้วมีค่าที่สุดแล้วมันทุกข์ยากมาขนาดไหน แล้วข้างหน้าจะไปอย่างไรล่ะ

ปัจจัยเครื่องอาศัยนะ เวลาพูดอย่างนี้ปั๊บก็บอกว่า “โอ๋ย! ไม่ต้องทำอะไร จะปฏิบัติ” ก็ขอให้ปฏิบัติจริงๆ ปฏิบัติได้

หน้าที่การงานมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มันอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมีของคน ใครประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหน เขาได้สร้างบุญสร้างกรรมของเขามา นั่นก็หน้าที่อันหนึ่ง แล้วปัจจุบันนี้มันอยู่ที่ว่าบารมี ปัจจุบันนี้อยู่ที่ความขยันหมั่นเพียร ความเพียร คนเราขยันหมั่นเพียร ดูสิ คนทำธุรกิจการค้า เขาขยันหมั่นเพียรของเขา คนซื่อของเขา เขาทำสิ่งใดแล้วเขาขาดตกบกพร่องจะมีคนอยากช่วยเหลือนะ เพราะอะไร เพราะมันรู้มันเห็นกันน่ะ นี่คือปัจจุบัน แต่ไอ้ที่มันผ่านมา สิ่งที่กรรมเก่า แล้วกรรมใหม่คือปัจจุบันนี้เราต้องขยันหมั่นเพียรของเรา

ในการปฏิบัติก็เหมือนกัน เรามีความมุมานะของเรา เราทำของเรา เวลามันกลับมา พุทโธๆ เวลามันกลับมา มันฟื้นมาได้ ถ้ามันฟื้นมา สัจจะ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ มันมีมรรค มีเหตุมีผลของมัน มันไม่มาจากไหนหรอก มันไม่มาจากการร่ำลือ ไม่มาจากการสรรเสริญ ไม่มาจากคนรับประกัน เวลาพระปฏิบัติสมัยพุทธกาลนะ จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พยากรณ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยากรณ์สิ่งที่เราทำมานั่นน่ะ เอ็งทำมาผิดก็ผิด เอ็งทำมาถูกก็ถูก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะให้เป็นอย่างนั้น มันอยู่ที่เหตุที่ผลที่เราทำมา

ถ้าเหตุและผลที่เราทำมา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นอาการของจิต อาการของมัน ความคิด กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นไหม จิต ธรรมารมณ์ ความคิด เห็นกาย เห็นต่างๆ นี่จิตเห็นอาการของจิต แล้วถ้าจิตเห็นอาการของจิตมันต้องพูดถูก จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นอาการ เห็นสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ จริงๆ มันอยู่ตรงนี้ ไอ้ที่โม้กัน ไอ้ที่คุยกัน ไอ้ที่เรียนกัน “สติปัฏฐาน ๔ จริง สติปัฏฐาน ๔ ปลอม เราปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ไอ้พุทโธๆ นั่นสมถะ ไอ้พวกนั้นมันไม่มีปัญญา”

ไม่มีปัญญา ครูบาอาจารย์เราเป็นพระธาตุหมดเลย ไอ้สติปัฏฐาน ๔ จริงมันยังเถียงกันไม่จบนะ มันยังตั้งป้อมเถียงกันแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ยังล่อกันไม่จบอยู่นั่นน่ะ ครูบาอาจารย์อยู่ในป่า ยิ้ม

สติปัฏฐาน ๔ คือจิตมันสงบแล้ว แล้วจิตมันเห็นอาการของมัน สติปัฏฐาน ๔ แล้วสติปัฏฐาน ๔ จริง เวลาใช้ปัญญาไป วิปัสสนาญาณ ปัญญาการรู้แจ้ง รู้แจ้งในการถอดถอนไง รู้แจ้งในความเป็นจริงไง แล้วความรู้แจ้งอย่างนี้เวลาปฏิบัติไปมันมีตทังคปหานคือชั่วคราวๆๆ พวกนี้ยังใช้ไม่ได้ ชั่วคราวมันก็เหมือนเจริญแล้วเสื่อม ถ้าชั่วคราวเดี๋ยวเสื่อม พอชั่วคราวมันปล่อยคือปล่อย ก็ปล่อยเท่านั้นแหละ ตทังคปหาน การปล่อยชั่วคราวๆ

ปล่อยชั่วคราว ปล่อยแล้วปล่อยเล่า ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่จริงนะ มีครูบาอาจารย์ที่จริงท่านจะคอยส่งเสริม ท่านจะคอยระวังให้ กันไว้ให้เลย อย่าให้ใครไปทำลายความเพียรนั้น อย่าให้ใครเข้าไปคุยโม้ พอคุยโม้ปั๊บเดี๋ยวเสื่อมหมด พอคุยไปแล้วมันส่งออก พอคุยไปแล้วเป็นภาระหมดแหละ เวลาเราพูดอะไรออกไป เราเป็นคนพูด แล้วเราก็ไปวิตกกังวลเอง พอวิตกกังวลมันก็เป็นนิวรณธรรม ถ้านิวรณธรรมมันก็ทำให้เสื่อมหมดเลย นิวรณ์ ลังเลสงสัย เป็นความทุกข์ พูดไปแล้วเขาเชื่อหรือไม่เชื่อ พูดไปแล้วมันจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง เพราะอะไร เพราะขี้โม้

เวลาปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้โม้ ท่านให้ปฏิบัติของท่าน เพราะมันจะมีตรงนี้ ตรงที่มันชั่วคราวๆ การทำงาน ทุกคนฝึกงานมันต้องมีการทำงาน งานนั้นทำครั้งแรกมันจะไม่สมบูรณ์ ก็ทำซ้ำ การทำซ้ำ พอพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก มันทำให้สมบูรณ์ขึ้น พอสมบูรณ์ขึ้น เวลาทำวิทยานิพนธ์ส่งต้องมีคณะกรรมการเขาตรวจสอบ แต่เวลาเราปฏิบัติ จิตนี้กลั่นมาจากอริยสัจ ธรรมะสมบูรณ์ ธรรมะจัดสรร ธรรมะจัดสรรคือเราพิจารณาจนสมบูรณ์ พิจารณาจนมัชฌิมา จนบริบูรณ์ของมัน

ถ้าบริบูรณ์ของมันนะ เวลามันขาด เห็นไหม อกุปปธรรม สมุจเฉทปหาน ตายแล้วฟื้นไม่ได้ พอตายแล้ว ยถาภูตํ กิเลสมันตาย ตายเสร็จแล้วนะ ญาณทัสสนะยังไปพลิกศพกิเลสเลย มันต้องเห็นกิเลสตาย พลิกศพกิเลสมันถึงชัดเจนว่า อ๋อ! ตายจริงๆ ตายแล้ว ตายแล้ว มันไม่มาอีกแล้ว นี่ของจริงเป็นแบบนี้ ของจริงต้องเป็นแบบนี้ มีครูบาอาจารย์ ที่เราประพฤติปฏิบัติกันเพื่อเหตุนี้ เหตุนี้เพราะอะไร เพราะว่าวันนี้วันพระ

วันพระนะ เราปฏิบัติใหม่ๆ วันพระวันโกนนี่เนสัชชิก โดยปกติก็ภาวนาอยู่แล้ว ถ้าวันพระนี่ทั้งวันเลย ซัดกันทั้งวันเลย เอาจริงเอาจังมาก

เราว่าเราก็มีวาสนาอันหนึ่งที่ว่าเราไปเจอหมู่คณะที่ดี เวลาไปเที่ยวป่าเที่ยวเขาออกไปมีแต่ภาวนากับภาวนา คุยกันแต่เรื่องภาวนา แล้วภาวนากันอย่างเดียว สังคมเขาจะภาวนากัน เขาจะเที่ยวเข้าป่าไป เขาจะไปช็อปปิ้ง เขาจะไปทัศนาจรของเขา เขาจะไปถูดงกัน เรื่องของเขา เราทำของเราจริงจัง เราไม่ได้ถูดง เราธุดงค์ เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา

เราเจอหมู่คณะที่ดี ปฏิบัติด้วยกัน พยายามส่งเสริมกัน พอคำว่า “ส่งเสริมกัน” มันทำให้ต่างคนต่างปฏิบัติด้วยความสบายใจ ไปอยู่ในป่าในเขาก็ทั้งวันทั้งคืน ล่อกันอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วพอฉันน้ำร้อนก็มาคุยกัน ใครมีอย่างไร

เราว่าเราก็มีวาสนาอันหนึ่งว่าเจอหมู่คณะที่ดี เจอครูบาอาจารย์ที่ดี เพราะเราก็ได้สร้างบุญกุศลของเรามาพอสมควรมันถึงมาเจอไง สร้างบุญกุศลมาเจอหมู่คณะที่ดี เจอครูบาอาจารย์ที่ดี แต่ก็ต้องเอาจริงด้วยนะ เราต้องจริงของเรา พยายามของเรา เราถึงได้ของเรา

ถ้าเป็นของครูบาอาจารย์ก็เป็นของครูบาอาจารย์ไม่ใช่ของเรา แต่เราได้อยู่กับท่าน เป็นแบบอย่าง สังคม สังคมที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดีทำให้เรามุมานะ แล้วนิสัยเราก็มุมานะอยู่แล้วด้วย แล้วไปเจอสังคมอย่างนั้น ทำมาจนประสบความสำเร็จ เห็นไหม ประสบความสำเร็จคือว่ามันสบายใจ เดี๋ยวว่าประสบความสำเร็จนี่โม้อีกแล้ว

โม้ไม่ได้ สิ่งนี้มันเป็นความจริง เวลาเทศนาว่าการจะพูดถึงเป็นธรรมๆ ไง เป็นธรรมเพื่อเราไง วันนี้วันพระผู้ประเสริฐ ให้หัวใจเราประเสริฐ มันจะเป็นสมบัติของเรา เอวัง